ครั้งที่ 7
วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2561
ครั้งที่ 5
วัน จันทร์ ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2561 เวลา 11:30 - 14:30 น
เนื้อหาการเรียนการสอน
วันนี้อาจารย์ได้ให้เราได้ลงมือทำเกี่ยวกับการเขียนแผนโดยให้กลุ่มแต่ละกลุ่มคิดกรอบเนื้อหาในสิ่งที่เด็กจะต้องเรียนมาก่อนว่ามีอะไรโดยให้ดูจากสาระที่ควรเรียนรู้
สาระที่ควรเรียนรู้
1.เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเด็ก รู้จักชื่อ-นามสกุล รูปร่าง หน้าตา อวัยวะต่างๆ
วิธีระวังรักษาร่างกายให้สะอาด ปลอดภัย เรียนรู้ที่จะเล่นและทำสิ่งต่างๆ
ด้วยตนเองคนเดียวหรือกับผู้อื่น ตลอดจนเรียนรู้ที่จะแสดงความคิดเห็น ความรู้สึก
และแสดงมารยาทที่ดี
2.เรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลและสถานที่แวดล้อมเด็ก
รู้จักและรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัว สถานศึกษา ชุมชน
รวมทั้งบุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
หรือมีโอกาสใกล้ชิดและมีปฎิสัมพันธ์ในชีวิตประจำวัน
3.ธรรมชาติรอบตัว
รู้จักสิ่งมีชีวิตที่เป็นต้นไม้ ดอกไม้ สัตว์
รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงของโลกที่แวดล้อมเด็กตามธรรมชาติ เช่น ฤดูกาล
กลางวัน-กลางคืน ฯลฯ
4.สิ่งต่างๆ รอบตัวเด็ก
รู้จักสิ่งของเครื่องใช้ ยานพาหนะ และการสื่อสารต่างๆ
ที่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวันของเด็ก
ซึ่งสาระที่เรียนจะต้องเรียนรู้มีอยู่
6 สาระคือ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษา ศิลปะ สุขศึกษา/พละศึกษา สังคม
จากนั้นอาจารย์ได้ให้ลองเขียนแผนเต็มรูปแบบโดยจะต้องเริ่มดูจากกรอบมาตรฐาน
จากนั้นก็ให้แต่ละกลุ่มลงมือปฏิบัติและออกมานำเสนอ
หน่วยไข่
หน่วยอื่นๆ
คำศัพท์
Shape รูปร่าง
Measurement การวัด
Observation การสังเกต
Number จำนวน
การประเมิน
ประเมินตนเอง วันนี้ตั้งใจเรียนและให้ความรวมมือในการทำการกลุ่ม
ประเมินเพื่อน เพื่อนๆทุกกลุ่มตั้งใจทำงานของตัวเองและตั้งใจนำเสนอ
ประเมินอาจารย์ อาจารย์ให้คำแนะนำเพิ่มเติมในบางส่วนที่เนื้อหาไม่ครบทำให้เราได้ความรู้เพิ่มเติม
ครั้งที่ 4
วัน จันทร์ ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2561 เวลา 11:30 - 14:30 น.
เป็นสารนิทัศน์ที่มุ่งเน้นด้านการจัดเก็บรวบรวมผลงานของเด็กเป็นรายบุคคลอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ
ช่วยให้เห็นความก้าวหน้าทางพัฒนาการด้านต่างๆและความสำเร็จของเด็ก
การจัดเก็บรวบรวมข้อมูลแสดงให้เห็นว่า ผู้เรียนได้มีโอกาสสะท้อนความคิด ความพยายาม
และแสดงศักยภาพของตนเองได้อย่างสมบูรณ์
จุดประสงค์แฟ้มสะสมผลงาน
• รอบวัน (จังหวะชีวิตในหนึ่งวัน)
เนื้อหาการเรียนการสอน
นำเสนองานกลุ่มที่ 4 เรื่อง
การเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่ Montessori
การจัดการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่
เป็นการจัดสภาพการเรียนรู้โดยมีครูเป็นผู้จัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้เหมือนบ้าน
และกระตุ้นให้เด็กคิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง
จัดสิ่งแวดล้อมและอุปกรณ์ให้เด็กได้ฝึกทักษะกลไกผ่านประสาทสัมผัส ทั้งห้า
หลักสูตรของมอนเตสซอรี่สำหรับเด็กวัย
3-6 ขวบ ครอบคลุมการศึกษา 3 ด้านคือ
1. ด้านทักษะกลไก (Motor Education) เพื่อฝึกการดูแลและจัดการสิ่งแวดล้อม
การทำงานให้เสร็จสมบูรณ์ ความรับผิดชอบและการประสานสัมพันธ์ให้สมดุล
2. ด้านประสาทสัมผัส (Education of the Senses) ฝึกการสังเกต
การใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าเกี่ยวกับมิติ รูปทรง ปริมาตรของแข็ง
3. ด้านการเขียนและคณิตศาสตร์ (Preparation For Writing and
Arithmetic) เพื่อเตรียมเด็กเข้าสู่ระดับประถมศึกษา
เตรียมตัวด้านการอ่านการเขียนโดยธรรมชาติ การประสมคำ คณิตศาสตร์
การศึกษาทางพฤกษศาสตร์ ภูมิศาสตร์
· การเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่ เกิดจากแนวคิดของ Maria Montessori แพทย์หญิงชาวอิตาลีที่มีความเชื่อว่า “การให้การศึกษากับเด็กในวัยเริ่มต้น
ไม่ใช่การนำความรู้ไปบอกเด็ก
แต่ควรเป็นการปลูกฝังให้เด็กได้เจริญเติบโตไปตามความต้องการทางธรรม ชาติของเขา”
· หลักการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่
1.เด็กจะต้องได้รับการยอมรับนับถือ
2 เด็กมีจิตซึมซาบได้
3.ช่วงเวลาหลักของชีวิต
4.การเตรียมสิ่งแวดล้อม
5. การศึกษาด้วยตนเอง
นำเสนองานกลุ่มที่ 5 เรื่อง ภาษาธรรมชาติ
· การสอนภาษาธรรมชาติเป็นการสอนภาษาแบบบูรณาการทั้งด้านการฟัง
พูด อ่าน เขียนให้แก่เด็กพร้อมกันอย่างมีความหมาย สอดคล้องเหมาะสมกับวัย
เป็นธรรมชาติของคนเรา
· Jean
Piaget ที่เชื่อว่า
การที่เด็กได้เคลื่อนไหวสัมผัสสิ่งต่างๆ รอบตัวจะเป็นการคิดสร้างความรู้ขึ้นภายในตนหรือเด็กเป็นผู้กระทำ มิใช่การรับเข้าไปเฉยๆ
การเรียนรู้ของเด็กเกิดจากอิทธิพลของสังคมและผู้อื่น
จึงเน้นให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใหญ่
ซึ่งการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างเสียงกับภาพ เสียงกับตัวอักษร
· เด็กเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ เด็กมีโอกาสเลือกกิจกรรมปฏิบัติอย่างอิสระ
ครูเป็นผู้สนับสนุนการเรียนรู้
และร่วมมือจัดการเรียนการสอนร่วมกันระหว่างเด็กกับครู
และการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับผู้อื่น
· เมื่อเด็กอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีภาษาหรือตัวหนังสือ
มีมุมอ่าน/เขียน ป้ายประกาศต่างๆ มุมนิทานให้เด็กได้ใช้ภาษาพูด เล่าเรื่องราว
ที่จะทำให้เด็กได้คุ้นเคยกับภาษา
การสอนภาษาธรรมชาติส่งผลต่อสมองของเด็ก
การได้รับการพัฒนาอย่างถูกวิธี จึงทำให้เด็กมั่นใจในการสื่อสาร
รักการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองและมีทัศนคติที่ดีกับภาษา
ซึ่งเด็กตระหนักรู้ว่าภาษามีความหมายในชีวิตจากประสบการณ์ทางภาษาที่มีอยู่จริง
เช่น ป้ายประกาศ นิทาน ฉลากกล่องใส่นมหรืออาหาร เป็นต้น
นำเสนองานกลุ่มที่ 6 เรื่อง
การจัดทำสารนิทัศน็ในระดับปฐมวัย
สารนิทัศน์หมายถึง ส่วนสำคัญที่นำมาเป็นตัวอย่าง อาจเป็นผลงานของเด็ก ภาพถ่าย กิจกรรมของเด็ก บทสนทนาของเด็ก ที่แสดงให้ผู้อื่นเห็น
หรือแสดงให้เห็นร่องรอยของการเจริญเติบโต พัฒนาการ และการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
จากการทำกิจกรรมของเด็กเป็นรายบุคคล หรือเป็นรายกลุ่ม
ประเภทของสารนิทันศน์
1.สารนิทันศน์ประเภทที่
1 การบรรยายเรื่องราวหรือประสบการณ์
2.สารนิทันศน์ประเภทที่
2 การสังเกตพัฒนาการเด็ก
3.สารนิทันศน์ประเภทที่
3 แฟ้มสะสมงาน (Portfolio)
4. สารนิทัศน์ประเภทที่ 4 ผลงานรายบุคคลและรายกลุ่ม
5 สารนิทัศน์ประเภทที่ 5 การสะท้อนตนเอง
นำเสนองานกลุ่มที่ 7 เรื่องแฟ้มสะสมผลงาน(Portfolio)
1.เห็นคุณภาพของงานและการคิดของเด็ก
2.แสดงความก้าวหน้าของเด็กในเวลาที่ล่วงไป
3.ประเมินงานของเด็กแต่ละคน
4.สะท้อนประสบการณ์ที่เด็กได้รับ
5.ให้โอกาสสะท้อนสิ่งที่คาดหวังในงานของเด็ก
6.ให้ข้อมูลที่สำคัญที่เกี่ยวกับความก้าวหน้าของเด็ก
และกิจกรรมที่ทำแก่เด็กคุณครู ครอบครัว ผู้บริหาร และผู้ที่เกี่ยวข้องในการตัดสินใจ
องค์ประกอบแฟ้มสะสมผลงาน
1. ส่วนปก ปกนอกและปกใน
2.ส่วนนำ คำนำ ข้อมูลผู้เรียน สารบัญ
3.ส่วนเนื้อหา
เป็นส่วนรวบรวมหลักฐาน ผลงาน เอกสารต่างๆที่แสดงถึงความรู้ ทักษะ
และเจตคติของผู้เรียน
4.ส่วนข้อมูลเพิ่มเติมหรือภาคผนวก
ปฏิทินปฏิบัติงานในการเก็บผลงานแผนการสะสมผลงาน ข้อมูลจากการสังเกต การสัมภาษณ์ และแบบประเมินอื่นๆ
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลในแฟ้มสะสมผลงาน
1. การสังเกต
2. การบันทึก
3.การสนทนา
4.การสัมภาษณ์
นำเสนองานกลุ่มที่ 8 เรื่อง วอลดอร์ฟ (Waldorf)
นวัตกรรมการศึกษาแนววอลดอร์ฟมีรากฐานมาจากมนุษยปรัชญา
(Anthroposophy)โดย ดร.รูดอร์ฟ สไตเนอร์ (Rudolf Steiner 1861-1925)
ได้นำมาจัดการศึกษาในโรงเรียนที่มีเป้าหมายเพื่อพัฒนามนุษย์ไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
ด้วยการพัฒนากาย (Body) จิต (Soul) และจิตวิญญาณ (Spirit)ให้บรรลุถึง
ความดี (Good) ความงาม (Beauty) ความจริง (Truth)
แนวคิดของมนุษยปรัชญาที่เป็นรากฐานสำคัญในการจัดการศึกษาวอลดอร์ฟ
เชื่อว่า เมื่อมองดูการเกิดและเติบโตของเด็กคนหนึ่ง เราจะเห็นได้ว่า กาย (Body) เป็นส่วนที่พ่อแม่เตรียมไว้ให้ในโลก
ส่วนจิตวิญญาณ (spirit) เป็นจิตเดิมแท้ของเด็กเองที่ มาจากโลกเบื้องบน
และเชื่อมโยงกันด้วยวิญญาณ (Soul) พ่อแม่และครูมีส่วนช่วยให้การเชื่อมโยงนี้เป็นไปอย่างราบรื่นกลม
กลืน ความสำคัญของครูในอนุบาลวอลดอร์ฟ จึงต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจ “เด็กตามธรรมชาติ”
0-7 ปี กาย body พัฒนาผ่านพลัง เจตจำนง will การมุ่งมั่นลงมือทำให้สำเร็จ
7-14 ปี จิต soul พัฒนาผ่านความรู้สึก Feeling เข้าถึงความงามและศิลปะแบบต่างๆ
14-21 ปี
จิตวิญญาณ Spirit พัฒนาผ่านความคิด Thinking การตระหนักรู้ ในคุณธรรมความดี
การศึกษาวอลดอร์ฟมีจุดเน้นที่ “ครู” คือมีการจัดทำคอร์สฝึกหัดครูในแนวทางวอลดอร์ฟ (Waldorf Early Childhood teacher
training) อยู่อย่างต่อเนื่อง
การศึกษาแนววอลดอร์ฟฝึกฝนทักษะชีวิตโดยเฉพาะด้านศิลปะ
ความเข้าใจเรื่องสี ฝึกหัดการวาดภาพระบายสี งานปั้น งานหัตถกรรมเย็บปักถักทอ
การจัดดอกไม้ ตลอดจนงานในชีวิตประวัน เช่น งานบ้าน งานครัว งานสวน ฯลฯ
เพื่อขัดเกลายก ระดับจิตใจตนเองไปสู่ความละเอียดประณีต
การจัดประสบการการณ์เรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัยในแนววอลดอร์ฟ
*หลักสูตรและกิจกรรม
จัดให้มีความเชื่อมโยงกัน ทั้ง 3 มิติ คือ
• รอบปี (ฤดู เทศกาล วัฒนธรรม)
•รอบสัปดาห์ (วิถีชีวิตของคนในชุมชน สังคม
ครอบครัว)
การจัดห้องอนุบาล
มีลักษณะเป็น “อนุบาลแบบบ้าน” โดยมีครูเสมือนแม่
การจัดสภาพแวดล้อมภายในเช่นเดียวกับบ้านหนึ่งหลังที่มีพร้อมทุกอย่าง ทั้งห้องครัว
ห้องนอน ห้องนั่งเล่น จัดให้มีความสวยงามและเหมาะสมกับการใช้งานในชีวิต ประจำวัน
เด็กเรียนรู้ผ่านการเลียนแบบ
โดยมีครูทำให้เห็นเป็นแบบอย่าง (Imitation) การงานในชีวิตประจำวัน
ครูจะลงมือทำงานต่างๆด้วยตัวเอง ได้แก่ งานบ้าน งานครัวและงานสวน เช่น
การทำความสะอาดบ้าน การปรุงอาหาร
เล่นอย่างอิสระโดยไม่แทรกแซง
(Free play) เสริมจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ (Imagination) เด็กจะได้เล่นอย่างเสรี
ด้วยวัตถุที่มาจากธรรมชาติ ทั้งเล่นในห้องเรียน เล่นกลางแจ้ง
และกิจกรรมศิลปะรูปแบบต่างๆ
บทบาทครู ( 3 R )
• การทำซ้ำ (Repetition) เพื่อให้เกิดมั่นคง
• จังหวะ (Rhythm) เพื่อให้สิ่งแวดล้อมมีบรรยากาศอบอุ่นและผ่อนคลาย
• เคารพ (Reverence) ด้วยความตระหนักรู้ที่ว่า “มนุษย์เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ”
นำเสนองานกลุ่มที่ 9 เรื่อง High Scope
ไฮสโคป
เป็นการสอนที่เน้นการเรียนรู้แบบ ลงมือทำ ผ่านมุมเล่นที่หลากหลาย
ด้วยสื่อและกิจกรรมที่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก และการแก้ปัญหาอย่างกระตือรือร้น
โดยการให้โอกาสเด็กเป็นผู้ริเริ่มการเล่นหรือกิจกรรมต่าง ๆ อย่างอิสระ
การเรียนรู้แบบลงมือกระทํานั้นจะประสบความสําเร็จได้ เมื่อผู้ใหญ่และเด็กมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไฮสโคปจึงเน้นให้ผู้ใหญ่สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและปลอดภัยให้แก่เด็ก
สภาพแวดล้อมการเรียนรู้
(Learning Environment)
1. พื้นที่
2.วัสดุอุปกรณ์
3.การจัดเก็บ
กิจวัตรประจำวัน
การวางแผน (Plan) เป็นการกำหนดแนวทางการปฏิบัติ
การปฏิบัติ (Do) คือ การลงมือทำกิจกรรมตามแผนที่วางไว้
การทบทวน (Review) เด็ก ๆ จะเล่าถึงผลงานที่ตนเองได้ลงมือทำ
การประเมินพัฒนาการ
(Assessment)
โปรแกรมไฮสโคป
การประเมินถือเป็นงานโดยตรงของครูที่จะต้องตั้งใจปฏิบัติและเอาใจใส่อย่างเต็มที่
ครูไฮสโคปจะทํางานร่วมกันเป็นคณะ ในแต่ละวันครูทุกคนจะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเด็ก
ข้อมูลนี้ได้จากการสังเกตและการมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กในกิจวัตรประจําวัน
ประโยชน์ของแนวการสอนไฮสโคป
(High Scope)
1.
สอนให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวกกับผู้อื่น ซึ่งเริ่มต้นจากความไว้วางใจ
2.
การลงมือทำงานฝึกให้เด็กวางแผนการทำงานอย่างเป็นขั้นตอน เป็นระบบ
3.
เด็กได้ฝึกสมาธิทำให้เด็กเกิดปัญญา ฝึกความมีระเบียบวินัย ฝึกการคิดอย่างมีความหมาย
คำศัพท์
Beauty ความงาม
Truth ความจริง
Good ความดี
Review การทบทวน
Plan การวางแผน
การประเมิน
การประเมินตนเอง
วันนี้เข้าเรียนตรงเวลา
แต่งการสุภาพ และตั้งใจฟังเพื่อนนำเสนองาน
ประเมินเพื่อน
เพื่อนๆให้ความร่วมมือในการฟังและตั้งใจฟังไม่ส่งเสียงคุย
ประเมินอาจารย์
อาจารย์ให้คำแนะนำในบางหัวข้อที่เพื่อนกลุ่มนำเสนอหาข้อมูลมาไม่ครบทำให้เกิดความเข้าใจในเรื้อหาเพิ่มขึ้น
อาจารย์แต่งกายสุภาพและมาสอนตรงเวลา
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)